วันอาทิตย์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ฉันเกือบจะขายอิสลามด้วยเงิน 20 เพนซ์!

         หลายปีมาแล้ว มีอีหม่ามคนหนึ่งย้ายไปที่ลอนดอน เขามักจะขึ้นรถประจำทางจากบ้านพักของเขาเพื่อไปยังย่านธุรกิจ ไม่กี่สัปดาห์จากที่เขามาย้ายมา เขามีโอกาสได้ใช้รถประจำทางอีก
            เมื่อเขานั่งลง เขาก็พบว่าพนักงานขับรถทอนเงินให้แก่เขาเกินมา 20 เพนซ์ ขณะที่เขากำลังคิดว่าจะทำอย่างไรดี เก็บไว้เองดีกว่า แต่มันเป็นสิ่งผิดที่จะเก็บไว้ แล้วแขาก็คิดว่า

โอ้ ลืมซะเถอะ
มันแค่ 20 เพนซ์
ใครจะมาใส่ใจกับเงินจำนวนเล็กน้อยแค่นี้
ไม่ว่าเส้นทางเดินรถไหน บริษัทรถประจำทางได้ค่าโดยสารมากเกินพอแล้ว พวกเขาคงไม่เสียดายมันหรอก ถือว่ามันเป็นของขวัญจากพระเจ้า(อัลลอฮ)ผู้ทรงยิ่งใหญ่และก็เก็บมันไว้เฉย ๆ แล้วกันเมื่อรถแล่นมาถึงที่หมาย อีหม่ามหยุดอยู่ที่ประตูครู่หนึ่ง จากนั้นเขายื่นเงิน 20 เพนซ์
ส่งคืนให้กับพนักงานขับรถ
และพูดว่า

"คุณทอนเงินผมเกิน"
พนักงานขับรถตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มว่า
"คุณไม่ใช่อีหม่ามคนใหม่แถวนี้หรือ หมู่นี้ผมคิดที่จะไปที่มัสยิดของคุณ
ผมแค่ต้องการจะดูว่าคุณจะทำอย่างไรถ้าผมทอนเงินเกิน"
เมื่ออีหม่ามลงจากรถ
เขาคุกเข่าลงด้วยความอ่อนแรง
เขาต้องเกาะเสาไฟและยึดไว้เพื่อช่วยพยุงตัว
เงยหน้ามองท้องฟ้า และร้องไห้
"โอ้พระเจ้า
ฉันเกือบจะขายอิสลาม
ด้วยเงิน 20 เพนซ์!"
จำไว้ว่า เราอาจจะไม่เห็นผลกระทบของการกระทำของเราที่มีต่อผู้อื่น
จงระมัดระวังและซื่อสัตย์ในทุก ๆ วัน เพราะคุณไม่สามารถจะรู้ได้เลยว่าใครกำลังมองดูการกระทำของคุณอยู่และกำลังตัดสินคุณ
     และแท้จริงแล้วการตัดสินจากมนุษย์ด้วยกันไม่หนักเท่าการตัดสินของพระเจ้าหรอกนะ

นิทานดัดแปลง

อย่าให้เขาสมเพชเลย

"มากันทำไมไม่รู้"ป๋าพึมพัมระหว่างผมกำลังเลื่อนประตูเข้าบ้าน
"มาหาป๋าไง"ผมตอบพลางๆล๊อดประตูเหล็กทางเข้าบ้าน
"มาหาทำไมละ"ป๋าพูดพลางบิดขี้เกียจ
"ป๋าไม่รู้เหรอ?"ป๋ามองหลังผมถามก่อนจะยิ้มให้
"ไม่ใช่ไม่รู้แต่ป๋าไม่เห็นประโยชน์"
ตั้ง แต่ป๋ารับตำแหน่งใหม่ที่สูงกว่าเดิม  บ้านเราก็เปลี่ยนไป  จากเดิมที่เงียบสงบมีแต่เราในครอบครัวก็กลับมีคนใหม่ๆเข้ามา  แขกจากกลุ่มและคนต่างเดินเข้าออกกันไปมาเต็มไปหมดจนดูอะไรๆก็ไม่เหมือนเดิม
มะ เองก็ดจะไม่ชอบนักเพราะปกติ วันเสาว์-อาทิตย์  ถือเป็นวันครอบครัวที่เราทั้งหมดจะไปพักผ่อนร่วมกัน  ทั้งำปที่ยวหรืออยู่บ้านทำของกินกัน
แต่วันนี้เมื่อป๋ารับตำแหน่งใหม่ ทุกอย่างเปลี่ยนไป  ทกๆเสาว์อาทิตย์ตั้งแต่ 9 โมงเช้าก็มีคนมาหา  มาพบ  มาคุยฯลฯ จนสุดสัปดาหืแห่งครอบครัวหายไป
"เขาคงมาเพราะอยากให้ป๋าดันเขา ขึ้นมาเป็นหัวหน้าแบบป๋ามั้ง"ผมพูดพร้อมเดินไปนั่งที่ระเบียงหน้าบ้าน  ป๋านิ่งก่อนส่ายหน้าแล้วหันมามองผม
"ป๋าได้ตำแหน่งมาไม่เห็นต้องไปเข้าหาใครๆแบบที่พวกเขาทำเลย  ป๋าทำงาน  ป๋าสอบ  ป๋าเรียนต่อ  ป๋าเลยได้เลื่อนตำแหน่ง
sigฟังป๋านะ  เคยมีคนขอตำแหน่งผู้ปกครองจากท่านนบี
ท่านเลยบอกไว้ทำนองว่า"อย่าขออำนาจหรือตำแหน่ง  เพราะการได้อำนาจจากการขอ  จะไม่มีใครยอมรับอำนาจนั้นนอกจากคนให้"

ถ้าคนพวกนี้ขอป๋า  ป๋าให้เขาก็จะได้การยอมรับจากป๋า  แต่จะไม่ได้จากคนรอบๆเขาจะทำงานได้ไหม?
คนเราจะได้อะไรก็ต้องทำเอง  หาเองไม่ใช่แบมือขอ"ป๋าพูดก่อนจะนั่งข้างๆผม
"ทำเองยากป๋า  ขอป๋าให้ช่วยง่ายกว่า"ป๋าฟังผมพลางส่ายหน้า
"ก็ มั่วแต่รอความเมตตาไงเลยยืนเองไม่ได้  ไม่พัฒนาตัวเอง  โทษทุกอย่าง  โทษทุกคนที่ไม่ให้โอกาศแต่ไม่เคยสร้างโอกาศให้ตัวเอง  เมื่อไหร่จะยืนเองได้ละ 
มาม่าหนะปรุงง่ายแค่เติมน้ำร้อนก็กินได้  แต่คนทำมาม่าได้ทำก๋วยเตี่ยวได้ไหม?  ไม่ได้เพราะคิดง่ายๆมาตลอดรอแต่คนทำมาให้สำเร็จรูปไม่รู้จักสร้างเอง  แบบนี้จะไปไหน  ทำอะไรก็แล้วแต่คนอื่นสิ"
ป๋าหยุดพุดก่อนมองผมที่เริ่มเบื่อๆ ป๋าเข้าใจไม่ยากนัก  ด้วยวัยเพียงเด็ก14-15 อย่างผมจะเข้าใจอะไรมากนักคงไม่ได้
"Sigพรุ่งนี้ไปปาโจ*ไหม?ป๋าวาสเราไม่ได้ไปน้ำตกนานแล้วนะ"ผมพยักหน้าก่อนเดินเข้าบ้านไปบอกมะให้เตรียมของกินสำหรับพรุ่งนี้
2-3เดือน ต่อมา  ผู้คนที่วนเวียนมาที่บ้านก็เริ่มหายไป  เพราะเขาต่างรู้ถึงนิสัยป๋าที่จะช่วยคนทำงาน  คนเก่งไม่ใช่คนช่างประจบ ช่างขอฯลฯ  ซึ่งนั้นทำให้ชีวิตเรากลับมาจนทำให้เราลืมมันไปหมดสิ้น

วันนึงเมื่อผมเรียนจบ  ผมออกหางานและไม่ใครรับโดยให้เหตุผลกับผมว่า
"คุณไม่มีประสบการณ์"ผมโวยวาย  หงุดหงิด  สิ้นหวัง ที่ไม่มีคนให้โอกาศ
แล้วตอนนั้นผมก็นึกได้
"ก็ มั่วแต่รอความเมตตาไงเลยยืนเองไม่ได้  ไม่พัฒนาตัวเอง  โทษทุกอย่างทุกคนที่ไม่ให้โอกาศแต่ไม่เคยสร้างโอกาศให้ตัวเอง  เมื่อไหร่จะยืนเองได้ละ 
มาม่าหนะปรุงง่ายแค่เติมน้ำร้อนก็กินได้  แต่คนทำมาม่าได้ทำก๋วยเตี่ยวได้ไหม?  ไม่ได้เพราะคิดง่ายๆมาตลอดรอแต่คนทำมาให้สำเร็จรูปไม่รู้จักสร้างเอง  แบบนี้จะไปไหน  ทำอะไรก็แล้วแต่คนอื่นสิ"

คำพูดป๋าย้อนกลับมาให้ผมคิด
ผมเริ่มถามตัวเองว่าการโวยวาย  การเกเรเพื่อร้องขอนั้น  มีประโยชน์ไหม?
การได้มาเพราะเขาสมเพช  ดีไหม?


หากไม่มีใครให้โอกาศ  เราก็ต้องสร้างให้ตัวเอง

ผมตัดสินใจเริ่ยนเพิ่มทันที  ทั้งภาษาและคอมพิวเตอร์  ไปทำกิจกรรมต่างๆเพื่อให้ตัวเองมีผลงานมีประสบการณ์
งานฟรีมีที่ไหนทำหมด  ขอให้ตัวเองมีโอกาศได้ทำงาน
แล้วผมก็ได้งาน
ผมได้งานกับชาวต่างชาติ  เพราะเขาต้องการคนพูดภาษาเดียวกับเขาได้ ผมทำคอมได้ตามที่เขาต้องการ  และผมมีประสบการณ์ในการทำงาน
ผมหันกลับไปวันที่ผ่านมาอย่างสบายใจ  หากรักแต่จะรอคอยหรือขอจากใคร  ผมอาจจะยังเป็นคนตกงาน
นบีท่านกล่าวไว้ว่า
"มือที่อยู่บน(ผู้ให้)
ย่อมดีกว่ามือที่อยู่ล่าง(ผู้รับ)"
ประโยคง่ายๆที่ทำยากยิ่ง
ป๋าได้พูดพร้อมทำให้ดู เป็นตัวอย่าง  เป็นก้าวย่างให้ลูกๆตาม

**********************************************
อธิบายเพิ่ม
ปาโจ-น้ำตกมี๙ขั้นของจัหวัดนราธิวาสอยุ่ ที่อำเภอบาเจาะ มีพลับพลาที่ประทับของ ร 7 ตั้งอยู่ในอาณาบริเวญด้วย
มะ-แม่
ป๋า-พ่อ

หัวเราะให้ความเจ็บปวด

ตลกไหม?

นักมวยที่ชกบนเวทีมองไม่ออกว่าจะชกยังไงถึงชนะ  ต้องให้ครูมวยบอก
นักฟุตบอลในสนามต้องฟังผู้จัดการ

แท้แล้วปัญหาเหมือนเกมส์  เมื่ออยู่ในเกมส์  เราทุกคนก็ไม่ต่างจากนักมวยหรือนักฟุตบอลนัก
วางตัวแบบครูมวยดีไหม?  วางตัวแบบผู้จัดการดีไหม?
ถอยออกมาแล้วหันกลับไปมอง  กลับไปทบทวนและฟัง

 แท้จริง ที่ตอบรับนั้น เพียงบรรดาผู้ที่ฟังเท่านั้น*

คำตอบง่ายและการแก้ปัญหาจะเกิดโดยง่ายยิ่ง
เมื่อผ่านมันไปเราจึงหัวเราะให้ความเจ็บปวด
.............................................................................
*(6-36 อัลกุรอาน)

ทำไมพระเจ้าจึงไม่ตอบคำขอ?

เมื่อท่าน นักปราชญ์อะบาอิสหาก* เดินอยู่ในเมืองบัศเราะห์ ผู้คนต่างมาห้อมล้อมเขาแล้วกล่าวถามเขาว่า
"โอ้อะบาอิสหาก พระเจ้า(อัลลอฮ์)ท่านได้กล่าวไว้ในคำภีร์อัล-กุรอานว่า
"อุดอูนี อัสตะญิบล่ากุม"
ความว่า "พวกท่านจงขอฉัน ฉันจะตอบรับคำขอของพวกท่าน"
พวกเราขอกันมาเป็นแรมปีแล้ว แต่ก็ไม่ได้รับการตอบสนองใดๆจากพระเจ้า?????"

           อะบาอิสหาก กล่าวว่า "โอ้ชาวบัศเราะห์ หัวใจของพวกท่านตาย (บอด) ในสิบประการ แล้วพวกท่านจะได้รับการตอบสนองตามที่ขอได้อย่างไร"
แล้วอะบาอิสหากได้อธิบายต่อไปว่า
  1. พวกท่านรู้จักพระเจ้า(อัลเลาะห์) แต่พวกท่านก็ไม่นำมาซึ่งหน้าที่ที่พึงปฏิบัติต่อพระองค์
  2. พวกท่านอ่านอัล-กุรอาน แต่พวกท่านไม่ปฏิบัติตามอัล-กุรอาน
  3. พวกท่านอ้างว่า มารร้าย(ชัยตอน)เป็นศัตรูของพวกท่าน แต่พวกท่านก็เลี้ยงอาหารและคบกับมัน
  4. พวกท่านพูดกันว่า พวกท่านเป็นประชากรของมูฮัมมัด ศ็อลฯ แต่พวกท่านก็ไม่ปฏิบัติตามซุนนะห์(แบบฉบับ)ของเขา
  5. พวกท่านอ้างว่า เป็นชาวสวรรค์ แต่พวกท่านก็ไม่ปฏิบัติตัว เพื่อจะได้เป็นชาวสวรรค์
  6. พวกท่านอ้างว่า พวกท่านปลอดภัยจากขุมนรก แต่พวกท่านก็โยนตัวเองลงนรก
  7. พวกท่านกล่าวว่า ความตายเกิดขึ้นจริง แต่พวกท่านก็ไม่เตรียมตัว
  8. พวกท่านชอบพูดเรื่องที่น่าเกลียดของผู้อื่น แต่พวกท่านก็ไม่ตรวจสอบดูความบกพร่องของตัวเอง
  9. พวกท่านบริโภคสิ่งที่พระเจ้า(อัลเลาะห์)ประทานให้ แต่พวกท่านก็ไม่ขอบคุณพระองค์
  10. พวกท่านฝังคนตาย แต่พวกท่านก็ไม่ได้ใคร่ครวญ ตรึกตรอง
...............................................................
*อิบรอฮีม บิน อัดฮัม ร่อหิมะฮุลลอฮ์

กุหลาบของผู้ทรงภูมิ

เชค ดาวูดท่านมีลูกศิษย์และคนนับถือมากมายและหนึ่งในนั้นเป็นพ่อค้าจากเปอร์เซีย(อิหร่านปัจจุบัน) พ่อค้าคนนี้จะมาหาท่านทุกเสมอที่เรือมาแวะปาตานี วันหนึ่งเขามาเยี่ยมท่านพร้อมของขวัญจากเปอร์เซียคือ
กุหลาบ  ซึ่งในยุคนั้นถือเป็นของหายากมาก และมีแต่ในบ้านเรือนของเศรษฐีและ รายา เท่านั้น
ท่านขอบคุณก่อนจะนำกุหลาบกระถางนั้นมาขยายพันธุ์ จากกุหลาบกระถางเดียวท่านขยายพันธุ์จนเต็มลานบ้านท่าน ก่อนที่ท่านจะนำมันไปปลูกที่โรงเรียนสอนศาสนาของท่านและสุเหร่าใกล้บ้าน

สีและกลิ่นของกุหลาบทำให้คนที่มาที่สุเหร่าประทับใจ และอยากได้จึงมาขอกับท่าน

เชคท่านไม่หวงอะไร ท่านตัดแบ่งให้ทุกคนที่มาขอ
จากข่าวนี้เองทำให้คนทะยอยมาขอขึ้นเรื่อยๆจนแทบหมดสุเหร่า 
ท่านเชคดาวูดก็ไปนำที่บ้านและโรงเรียนท่านมาให้

ซึ่งนั้นสร้างความไม่พอใจแก่ศิษย์ที่เรียนในโรงเรียนท่าน เพราะเห็นกุหลาบลดลงไปและกลิ่นไม่หอมมากเหมือนเดิม
"อาจาร์ย ท่านหยุดแจกเถอะ กุหลาบลดลง พื้นที่สวนโรงเรียนไม่สง่าสวยดั่งเดิมแล้ว"
เชคดาวูดพยักหน้ารับ แต่ท่านก็ยังให้กิ่งพันธุ์อยู่ดี จนเหลือเพียงกอกุหลาบไม่กี่กอในสุเหร่า โรงเรียน และบ้านท่าน

บัดนี้ไม่มีกลิ่นกุหลาบอีกแล้ว ไม่มีซุ้มกอสวยๆของกุหลาบที่เคยเห็นเกลื่อนตา

ลูกศิษย์คนเดิมจึงเดินไปหาเชคดาวูดอีกครั้งหนึ่ง
"ท่านอาจาร์ย ท่านดูสิการแจกกุหลาบของท่านทำให้ตอนนี้สุเหร่าไม่งดงามเหมือนเดิม ไม่มีกลิ่นหอมเหมือนเดิม"
เชคดาวูดยิ้มก่อนจะหันไปตบบ่าลูกศิษย์ 
"วันนี้ปีหน้ากุหลาบก็จะเต็มสุเหร่าเช่นเดิม กลิ่นหอมก็จะกลับมา
และ
วันนี้ปีหน้ากุหลาบที่เราแจกไปจะบานสะพรั่งทั้งหมู่บ้าน และหอมหวลทั้งหมู่บ้าน "

"ทั้งหมู่บ้าน"ลูกศิษย์อุทานชึ้น ใช่แล้วเขาไม่นึกไม่ถึงเลย กุหลาบทั้งหมู่บ้านงดงามขนาดไหน

ถึงเวลานั้น ถึงเราไม่ปลูกกุหลาบกลิ่นหอมก็ลอยเข้าสุเหร่าอยู่ดี
กุหลาบก็เหมือนความรู้ บางคนห่วงความรู้แล้วเก็บไว้กับตัวเอง
ก็เหมือนสุเหร่าที่เต็มไปด้วยกุหลาบสดใส แต่หมู่บ้านรอบตัวก็หม่นหมองไม่มีอะไร
ผู้รู้ที่แท้ต้องแบ่งความรู้ เพราะความรู้ที่แบ่งไป จะเบ่งบานและกว้างไกล

การเก็บกุหลาบไว้ที่สุเหร่า ก็มีแต่คนในสุเหร่ารู้วิธีดูแลขยายพันธุ์ ตายไปกุหลาบก็สูญพันธุ์
การแจกจ่ายจึงช่วยดำรงกุหลาบอยู่ต่อไป
เยี่ยงเดียวกับท่านศาสดาที่กระจายความรู้ออกไป ให้มันยั่งยืนและเติบโต

นิทานดัดแปลง

วันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ไม่พร้อมไม่ใช่คำตอบ

บ้านผมเคยเลี้ยงเป็ด
เราเลี้ยเป็ดเยอะมากๆ  ราวๆ400-500  ตัว 
หน้าที่ ของผมคือ แทบทุกวันตอนเช้าต้องให้อาหารเป็ดพร้อมๆเก้บไข่มันที่เกลื่อนไปตามจุด ต่างๆ  ไข่เป้ดที่ออกมาใหม่ๆจะไม่ขาวอย่างที่เห็น  แต่จะชมพุเรือๆและนิ่มมือ    ตกท้ายตอนเย็นหลังเลิกเรียนก็ให้อาหารมันอีกครั้ง
ผมทำแบบนี้แทบทุกวัน  เหตุที่แทบทุกวันเพราะบางวัน มะกัป๋าจะรับหน้าที่แทนในวันที่ผมต้องไปเรียนพิเศษ
วันนึงตอนเช้าผมเจอเป็ดง่อย  2-3 ตัว  ผมจึงอุ้มเป้ดทั้งหมดไปให้มะดู

"มันเป็นอะไร"มะหันมาถามผมพร้อมๆกับคลำที่ขาเป้ด
"ไม่รู้มะ  Sig  เจอก็เป็นแบบนี้แล้ว  แยกมาก่อนกลัวตัวอื่นติด"มะพยักหน้าก่อนไล่ผมไปอาบน้ำเพื่อไปดรงเรียน

เย็นวันนั้นผมต้องไปเรียนพิเศษ  จึงไม่ได้กลับตามเวลาอย่างที่เป้น  กว่าจะกลับถึงบ้านก็ทุ่มนึง  เมื่อกลับจึงได้รู้ว่าเป้ด 2-3 ตัวตอนนี้มีที่เป็นง่อยเสีย 10 กว่าตัว!

..........................................................................................
เช้า วันรุ่งขึ้นผมให้อาหารเป้ดพร้อมเก้บไข่เหมือนเดิม  พร้อมๆกันนั้นผมได้อุ้มเป้ดกลับมาอีก 5-6 ตัว  ผมมองพวกมันอย่างเงียบๆไม่รู้จะทำยังไง  ตัวที่เป็นง่อยวันแรกๆตอนนี้ซึมจนน่ากลัวเสียแล้ว
"Sigวันนี้กลับเร็วหน่อยนะ"มะพูดตอนเรากำลังกินข้าวเช้า  ผมพยักหน้ารับก่อนจะขว้ากระเป๋าไปโรงเรียน
วันนั้นไม่มีเรียน  ผมเดินกลับบ้านโดยไม่รอเล่นฟุตบอลกับเพื่อนเหมือนที่เป้นเพราะมะได้สั่งไว้  ผมเดินกลับไปพลางคิดว่ามะจะให้ทำอะไร
หรือมะจะให้ขุดหลุมฝังเป็ด  ถ้ามันตาย!
มะ นั่งรออยู่ที่บ้าน  ทันทีที่เห้นผม  มะก้พยักหน้าให้ผมตามไป  มะไปหยุดที่ตู้เย็นก่อนหยิบกล่องทัพเปอร์แวร์กล่องนึงออกมา  แวเดินนำผมไป

"อุ้มเป็ดที"มะพูดร้อมๆเปิดกล่อง  ผมแยกจากมะมาอุ้มเป้ด  ก่อนจะหันกลับไปมองมะ
"มะทำอะไร?"

ภาพที่ผมเห้นคือมะหยิบเข้มฉีดยาแทงลงไปในขวดน้ำยาสีเหลือง  ก่อนจะบมันขึ้น
"จะฉีดยาเป็ดไง  มะไปถามสัตวแพทย์แล้ว"
"ทำไมไม่ให้เขามาฉีดละ?"ผมถามทันที  มะไม่เคยฉีดยาอะไรทั้งนั้น  นี้กับสัตว์ป๋วยมะยิ่งไม่ควรลอง
"แพง  มะเลยซื้อมาอย่างเดียว  มะถามหมอเขาแล้ว"มะยกเข็มกดไล่มออกจากกระบองฉีดยา
"ว่าฉีดยังไง"มะตอบก่อนเดินมาหาเป็ดที่ผมอุ้ม
"รอป๋าไม่ดีกว่าเหรอ?"มะยิ้มก่อนจะจับหัวเป็ด
"กว่าป๋าจะกลับพวกนี้ก็ตายกันพอดี"

มะแทงเข็มหลังคอเป้ดก่อนจะฉีดยา  มะดึงเข็มออกก่อนจะใช่ให้ผมไปอุ้มตัวต่อมา
"มะรู้นะว่าเราไม่เคยฉีดยา  แต่เราก็ต้องฉีด  เพราะเป็ดมันป่วยจะรอไปมันก็ตาย  จะให้หมอมาเราก็ไม่มีตัง
มะรู้ว่าเราไม่พร้อมที่จะทำ  เพราะเราไม่เคยทำ  เรามีแค่หมอแนะนำเท่านั้น
แต่
รู้อะไรไหม  ตอนที่ท่านนบีเผยแพ่รอิสลาม  นบีฯท่านไม่พร้อมหรอกนะ  ท่านมีแค่คำแนะนำจากอัลเลาะห์ท่านก็ทำ  ทั้งๆที่ไม่พร้อม  ทำทั้งที่รู้ว่าต้องเจอปัญหาข้างหน้าแน่ๆ  ทั้งๆที่รู้ท่านก็ยังทำ
เพราะท่านมั่นใจไง  มั่นใจในสิ่งที่ทำว่าดี  มั่นใจในสิ่งที่คิดว่าใช่  และมั่นใจในคำแนะนำจากอัลเลาห์  ท่านจึงได้ทำทั้งๆที่ไม่พร้อมมะไม่เคยฉีดยาหรอกนะ  และไม่พร้อมด้วย  ที่สำคัญไม่มีตังจ้างหมอด้วย
แต่มะเชื่อในคำแนะนำหมอนะ  มะเชื่อนะว่าที่ทำหนะเป็นสิ่งดี  ช่วยชีวิตเจ้าพวกนี้หนะดีไหม?
การจะทำดีต้องรอให้พร้อมไหม?
ความพร้อมอาจทำให้เราทำได้ดีกว่าคนไม่พร้อม  แต่การอ้างความไม่พร้อมแล้วไม่ทำนั้นแย่
หากนบีอ้างความไม่พร้อมแล้วไม่เผยแพ่รอิสลามละ?
ดังนั้นเราอ้างความไม่พร้อมในการไม่ทำความดี  ไม่ได้  หากมั่นใจในสิ่งที่ทำว่าดี  มีคำตอบให้ทั้งตัวเองและอัลเลาะห์
ทำไปเลย"
มะพยักหน้าให้ผมอุ้มเป็ดตัวต่อไปมา  ผมเงียบก่อนจะอุ้มมาทีละตัวโดยไม่ถามอะไรอีกเลย

วันรุ่งขึ้นผมยังคอุ้มเป็ดกลับมาที่บ้าน  เพื่อแยกเป้ดป่วยเช่นเดิม  หากแต่
วันนี้เป็ด 2-3 ตัวที่เคยเดินไม่ได้ เริ่มขยับได้และเดินได้  เย็นวันนั้นผมเอาเป็ดกลับไปปล่อยคืนที่เล้า 5 ตัว
เสร็จจากวันนั้นมีเป็ดทะยอกลับไปจนเกือบหมด  เว้นแต่เป็ดที่ป่วยรุ่นแรกๆตายไปเสีย 2 ตัว

..............................................................................
วันนี้เมื่อผมหันกลับไปมองคนมากมาย 
ที่ไม่เคยทำสิ่งดีแล้วมักให้เหตุผลว่า"ไม่พร้อม"  อดนึกถึงตัวเองวันนั้นไม่ได้
หากมะพูดว่าไม่พร้อม  เป็ดคงตายหมดเล้าดังนั้น
ความไม่พร้อมจึงไม่ใช่คำตอบ  แต่เป็นข้อแก้ตัวที่ฟังไม่ขึ้น
............................................
มะแปลว่าแม่  เป็นคำที่มุสลิมในไทยใช่

วันพุธที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

อาหารและธุรกิจต้องห้าม ในอิสลาม

เรื่อง อาหารการกินเป็นเรื่องใหญ่และเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับมนุษย์ เพราะการกินเป็นจุดเริ่มต้นของเศรษฐกิจ ถ้ามนุษย์ต้องการกินสิ่งใด มนุษย์ก็จะผลิตสิ่งนั้นขึ้นมาตอบสนอง

ถ้ามนุษย์รู้จักกินของดีและมี ประโยชน์ มนุษย์ก็จะผลิตแต่ของดีและมีประโยชน์ต่อมนุษย์เอง แต่ในทางตรงข้ามถ้ามนุษย์กินของที่เป็นโทษ มนุษย์ก็จะผลิตสิ่งที่เป็นโทษออกมาตอบสนองซึ่งจะเป็นโทษต่อมนุษย์เองหรือถ้า ไม่รู้จักกินมนุษย์ก็จะกินทุกอย่างแม้กระทั่งเนื้อหมาและกินเลือดกินเนื้อ ของมนุษย์ด้วยกันเอง ดังนั้นคำสอนของทุกศาสนาจึงวางกรอบการกินไว้สำหรับมนุษย์มานานนับตั้งแต่โลก นี้ยังไม่มีกฎหมายและความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ทั้งนี้มิใช่เพื่ออะไรนอกไปจากเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของมนุษย์นั่นเอง แม้แต่สัตว์ก็ยังมีกรอบการกินของมันเอง เช่น ปศุสัตว์ทั้งหลายจะกินแต่หญ้าและพืช ไม่กินเนื้อในขณะที่สัตว์มีเขี้ยวเช่นเสือ จระเข้ก็จะกินแต่เนื้อ ไม่กินพืช

คง ปฏิเสธกันไม่ได้ว่าแม้แต่คำสอนของพุทธศาสนาเองก็ยังห้ามดื่มสุราเหมือนกับคำ สอนของศาสดาคนอื่นๆ
คัมภีร์ ไบเบิลเองก็มีข้อจำกัดเรื่องอาหารมากกว่าคำ สอนของพุทธศาสนาเพราะนอกจากจะห้ามสิ่งมึนเมาแล้ว คัมภีร์ไบเบิลยังห้ามกินเนื้อหมูและเนื้อสัตว์อื่นๆอีกบางชนิดด้วย ดังนั้นถ้าคนคริสเตียนเป็นผู้ปฏิบัติตามคำสอนของคัมภีร์ไบเบิลจริงๆก็จะต้อง ไม่กินเนื้อหมูด้วยเช่นกัน แต่ที่แน่ๆก็คือชาวยิวที่ยึดถือคัมภีร์โตราห์(หรือพันธสัญญาเดิม)จะไม่กิน เนื้อหมูและอาหารบางประเภทที่กำหนดไว้ในคัมภีร์ของตนด้วยเช่นกัน ชาวยิวมีกฎหมายกำหนดว่าอะไรที่กินได้และอะไรที่ศาสนาไม่อนุมัติให้กินเป็น ของตนเองโดยเฉพาะ สิ่งที่ศาสนาของชาวยิวอนุมัติให้กินนั้นเรียกว่า “โคเชอร์” ส่วนอาหารที่ศาสนาของชาวยิวไม่อนุมัติให้กินนั้นเรียกว่า “เทรฟาห์” (สิ่งต้องห้าม) เช่น เลือด เนื้อหมู กระต่าย สัตว์น้ำจำพวกมีเปลือก นกป่า เป็ดป่า และนกล่าเนื้อ เป็นต้น (ดูพันธสัญญาเก่า ฉบับอพยพ 22:31)

ที่กล่าวมานั้นเป็นตัวอย่างที่ ชี้ให้เห็นว่ามนุษย์มีกรอบในการกินมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์แล้ว และเรื่องการกินก็เป็นสิ่งบ่งชี้อย่างหนึ่งว่าคนผู้นั้นเป็นอย่างไรดังคำ พังเพยที่ว่า “ยูอาร์ว็อทยูอีท” (You are what you eat) หรือ “คุณเป็นอย่างที่คุณกิน” ถ้ามนุษย์กินทุกอย่างที่ขวางหน้า มนุษย์ก็ไม่ต่างอะไรไปจากหมู ชาวยิวรักษาความเป็นยิวไว้ได้ก็เพราะชาวยิวมีอาหารการกินเป็นเอกลักษณ์ของตน เอง ดังนั้น ถ้าใครจะถามชาวยิวว่าทำไมจึงไม่กินนั่นไม่กินนี่ คำตอบที่จะได้ก็คือมันเป็นคำสั่งทางศาสนาที่พวกเขาจะต้องเชื่อฟังและปฏิบัติ ตาม

สำหรับมุสลิมก็เช่นกัน การกินไม่เพียงแต่มีความสำคัญต่อร่างกายเท่านั้น แต่ยังมีความสำคัญต่อความสะอาด ความเข้มแข็งและการเจริญเติบโตทางด้านจิตวิญญาณที่เป็นตัวตนที่แท้จริงของ มนุษย์ด้วย เพราะอาหารที่สกปรกในทัศนะของพระเจ้าไม่เพียงแต่จะมีผลเสียต่อสุขภาพร่างกาย เท่านั้น แต่มันยังจะทำให้วิญญาณพลอยสกปรกไปด้วยและที่สำคัญก็คือการกินอาหารต้องห้าม เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พระเจ้าไม่รับคำวิงวอน(ดุอาอ์)ของคนผู้นั้น
ดัง นั้น มุสลิมจึงมีกฎเกี่ยวกับอาหารเช่นเดียวกับชาวคัมภีร์รุ่นก่อนๆ สิ่งที่ศาสนาอิสลามอนุมัติให้มุสลิมกินได้นั้นเรียกว่า “ฮะลาล” ส่วนสิ่งต้องห้ามนั้นเรียกว่า “ฮะรอม” แต่กฎหมายอิสลามเกี่ยวกับเรื่อง “ฮะลาล” และ “ฮะรอม” นั้นจะละเอียดและกว้างขวางครอบคลุมพฤติกรรมอื่นๆของมนุษย์ในทุกๆด้านนอก เหนือไปจากเรื่องอาหารการกินด้วย อาจกล่าวได้ว่าความเป็นมุสลิมนั้นขึ้นอยู่กับการกินและการทำสิ่งที่ “ฮะลาล” และละเว้นจากสิ่งที่ “ฮะรอม” นั่นเอง

หากใครถามว่าใครเป็นผู้กำหนด ว่าอะไรเป็นสิ่ง “ฮะลาล” และอะไรเป็นสิ่ง “ฮะรอม” ? คำตอบก็คือพระเจ้า และหลักการอิสลามก็ห้ามมนุษย์ไปเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ของพระเจ้า ใครถืออำนาจบาทใหญ่ไปเปลี่ยนแปลงก็หมายความว่าคนนั้นกำลังตั้งตัวเป็นพระ เจ้าแข่งกับพระองค์ นรกกินกบาลตราบกาลนานครับ ตัวอย่างชัดๆที่เห็นกันอยู่ทุกวันนี้ก็คือพระเจ้าสั่งห้ามกินดอกเบี้ย ห้ามเสพสิ่งมึนเมา แต่มนุษย์ฝ่าฝืน ความวิบัติฉิบหายจึงเกิดขึ้นให้เราเห็นดังทุกวันนี้

กฎการกินของ อิสลาม
1) อาหารและสิ่งที่จะนำมาใช้ต้องเป็นที่อนุมัติและสะอาด (ฮะลาลันและฏ็อยยิบัน)
2) เป็นอาหารที่ดีและมีประโยชน์
3) กินอย่างพอประมาณ ไม่ฟุ่มเฟือยหรือสุรุ่ยสุร่าย เพราะคนที่สุรุ่ยสุร่ายนั้นเป็นพวกพ้องของมาร
อะไรบ้างที่เป็นสิ่งต้อง ห้ามในอิสลาม ?
1) เนื้อหมูและผลิตภัณฑ์ทุกอย่างที่ทำมาจากตัวหมู เช่น เยลละตินหากทำมาจากหมู มุสลิมก็ถือว่าเป็นที่ฮะรอม (ต้องห้าม) แต่ยิวจะถือว่าเป็นโคเชอร์(กินได้)
2) เลือด ไม่ว่าจะนำไปต้มหรือไปทำพาสเจอร์ไรส์หรือไปทำเป็นผลิตภัณฑ์อะไรก็แล้วแต่ถือ เป็นที่ต้องห้ามตามหลักการอิสลาม
3) เนื้อของสัตว์ที่ตายเองโดยธรรมชาติหรือตายโดยไม่รู้สาเหตุ เพราะเนื้อของสัตว์เหล่านี้อาจเป็นอันตรายจากโรคที่ทำให้สัตว์นั้นตาย
4) เนื้อของสัตว์ที่ตกจากที่สูงตาย ถูกทุบ และถูกรัดคอ ทั้งนี้เนื่องจากการฆ่าเป็นวิธีการที่ทารุณและการฆ่าโดยวิธีนี้ไม่ทำให้ เลือดของสัตว์ไหลออกมา
5) เนื้อของสัตว์ที่เชือดโดยไม่กล่าวนามของพระเจ้า เหตุผลก็เพราะสัตว์มีชีวิต และชีวิตของสัตว์ก็เป็นของพระเจ้า ถ้าจะกินเนื้อของมันก็ต้องขออนุญาตจากพระเจ้าเพื่อเอาชีวิตของมันเสียก่อน หากไม่กล่าวนามพระเจ้าก็แสดงว่าไม่เคารพผู้เป็นเจ้าของชีวิตสัตว์และขโมย ทรัพย์สินของพระองค์ นอกจากนั้นแล้ว คนที่จะกล่าวนามพระเจ้าในตอนเชือดสัตว์นั้นก็ต้องเป็นมุสลิมผู้ศรัทธาใน พระองค์ด้วย มิเช่นนั้นแล้ว เนื้อของสัตว์นั้นก็เป็นที่ต้องห้าม ชาวยิวสมัยก่อนก็เชือดสัตว์โดยกล่าวนามพระเจ้าด้วยเช่นกัน แต่ในปัจจุบันนี้ ชาวยิวไม่เคร่งครัดในเรื่องนี้แล้ว เนื้อของสัตว์ที่ชาวยิวเชือดซึ่งมุสลิมเคยได้รับการอนุมัติให้กินได้ในสมัย อิสลามยุคต้นจึงไม่เป็นที่ปลอดภัยสำหรับมุสลิมในปัจจุบัน แต่ชาวยิวจะสามารถกินเนื้อที่มุสลิมเชือดได้อย่างปลอดภัย
6) อาหารใดๆก็ตามที่นำไปเซ่นสรวงผีสางเทวดาหรือนำไปถวายเจ้าอื่นๆ ทั้งนี้เนื่องจากคนมุสลิมศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียว อาหารใดก็ตามที่นำไปถวายเจ้าอื่นแล้วถือว่าเป็นอาหารเหลือเดนที่อิสลามห้าม มุสลิมนำมากินหรือนำมาใช้
7) สัตว์ที่ใช้กรงเล็บและเขี้ยวจับหรือฉีกเหยื่อกินเป็นอาหาร เช่น นกอินทรี งู เสือ หมี และอื่นๆ เนื้อของสัตว์เหล่านี้ไม่มีประโยชน์ต่อมนุษย์ และการล่าสัตว์เหล่านี้มาเป็นอาหารก็เป็นการทำลายดุลย์ทางนิเวศวิทยาด้วย ในพระไตรปิฎก เนื้อของเสือ หมา หมี ราชสีห์ งู ก็เป็นที่ต้องห้ามด้วยเช่นกัน
8) สิ่งมึนเมาทุกประเภท โดยเฉพาะสุรานั้น อิสลามถือว่าเป็น “แม่ของความชั่ว” ที่จะออกลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง ส่วนยิวถือว่าเหล้าองุ่นทุกอย่างเป็น “โคเชอร์”
เราจะเห็นได้ว่าอาหาร ต้องห้ามดังกล่าวมาทุกอย่างนั้นไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แต่อย่างใดกับมนุษย์ เลย ไม่กินสิ่งเหล่านี้ก็ไม่ตาย และถ้ากินเข้าไปก็มีแต่จะเกิดโทษกับตัวเอง

นอก จากสิ่งต้องห้ามดังกล่าวข้างต้นแล้วยังมีอีกสิ่งหนึ่งซึ่งทั้งอิสลามและ ศาสนาคริสต์ห้ามและถือเป็นบาปอย่างร้ายแรงก็คือ “ดอกเบี้ย”
ท่านนบีมุฮัม มัดได้กล่าวถึงพิษภัยของดอกเบี้ยว่า : “เมื่อดอกเบี้ยและการผิดประเวณีปรากฏขึ้นในสังคม คนในสังคมนั้นได้นำตัวของพวกเขาไปสู่การลงโทษของอัลลอฮแล้ว”

“ดิรฮัม หนึ่งของดอกเบี้ยที่ใครกินเข้าไปนั้นเลวกว่าการผิดประเวณี 36 ครั้ง”

“ดอกเบี้ย มี 70 ประเภทด้วยกัน ความรุนแรงอย่างน้อยที่สุดของมันเหมือนกับการผิดประเวณีกับแม่ของตัวเอง”

ธุรกิจ และอาชีพต้องห้าม
นอก จากอาหารที่จะนำมากินต้องฮะลาลแล้ว การได้ประกอบอาชีพซึ่งเป็นหนทางที่ได้มาซึ่งอาหารจะต้องไม่เป็นที่ต้องหาม ด้วย เพราะเงินที่ได้มาโดยวิธีการที่ต้องห้าม(ฮะรอม)นั้นจะพลอยทำให้อาหารและสิ่ง ที่เราใช้พลอยไม่สะอาดไปด้วย ดังนั้น ในการประกอบอาชีพหรือแสวงหารายได้ อิสลามจึงห้ามมุสลิมไปเกี่ยวข้องกับสิ่งต่อไปนี้ :-

1. ดอกเบี้ย ไม่ว่าจะรับ ให้ ทำบัญชีหรือเป็นพยาน
2. ซื้อ ขาย โฆษณาสิ่งต้องห้าม เช่น สิ่งมึนเมา เลือด ของโจร โสเภณี
3. กักตุนสินค้าเพื่อเก็งกำไร
4. โกงมาตราชั่ง ตวง วัด
5. แจ้งเท็จคุณภาพสินค้า หรือการสาบานเท็จ ปลอมปนสินค้า
6. การพนัน การเสี่ยงทาย ล็อตเตอรี่
7. หมอดู เครื่องราง ของขลัง
8. การซื้อขายโดยไม่เห็นหรือไม่รู้จักสินค้า

สรุป เหตุผลของการห้ามกินและทำสิ่งต้องห้าม

1) เพื่อรักษาความสะอาดของจิตวิญญาณ
2) เพื่อป้องกันโทษภัยต่อร่างกายและสังคม
3) เพื่อเป็นการทดสอบและรักษาความศรัทธาไว้

ข้อคิดปิดท้าย

เมื่อ เวลาเราไปซื้อรถยนต์สักคันหนึ่ง ห้างขายรถยนต์จะให้คู่มือใช้รถแก่เรามาด้วย ในคู่มือใช้รถจะระบุไว้ว่ารถยนต์คันนั้นถูกออกแบบมาให้ใช้น้ำมันเบนซิน เราก็ต้องใช้น้ำมันเบนซินตามนั้นถ้าเราไปเอาน้ำมันเครื่องบินหรือน้ำมันขี้ โล้มาใช้แทน ไม่ช้าเครื่องยนต์ก็พังเพราะเราไปใช้น้ำมันผิดแบบที่วิศวกรผู้สร้างรถยนต์ กำหนดไว้ ชีวิตของของมนุษย์ทั้งทางด้านร่างกายและจิตวิญญาณก็เช่นกัน มนุษย์ไม่ได้สร้างชีวิตของเขาขึ้นมาเอง พระเจ้าต่างหากที่ออกแบบและสร้างมนุษย์มา พระองค์จึงย่อมรู้ดีว่าอะไรที่เหมาะสมสำหรับตัวมนุษย์และพระองค์ก็บอกไว้ใน คัมภีร์กุรอานซึ่งเป็นคู่มือการใช้ชีวิตสำหรับมนุษย์ ใครที่เชื่อในพระเจ้าก็ใช้ชีวิตไปตามคู่มือนั้น อาจมีบางคนกินสิ่งต้องห้ามเข้าไปแล้วไม่เป็นอันตรายต่อชีวิตทันตาเห็น แต่สิ่งที่แน่ๆก็คือ เมื่อมนุษย์ฝ่าฝืนเรื่องการกิน มนุษย์ก็สามารถฝ่าฝืนพระเจ้าในเรื่องอื่นๆได้ และเมื่อมนุษย์ต่างคนต่างฝ่าฝืนกฎหมายของพระเจ้าผลที่ตามมาก็ย่อมจะไม่แตก ต่าง
-----------------------------------------------------------
โดย อ.บรรจง บินกาซัน

อิสลามถือว่าสามีภรรยามีภาระหน้าที่ต่อกันอย่างไรบ้าง?

คำถามกรุณาชี้แจงหน้าที่ทางบทบัญญัติอิสลามที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามี และอยากทราบว่าสามีมีสิทธิเรียกร้องให้ภรรยากระทำสิ่งใดได้บ้าง?
คำตอบโดยสังเขป
ความ มั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อ ไปนี้:
1. ยอมรับภาวะผู้นำของสามี: หากเกิดปัญหาครอบครัว สามีควรได้รับสิทธิชี้ขาดในการแก้ปัญหา อย่างไรก็ดี สามีไม่ควรลุแก่อำนาจ และใช้สิทธิดังกล่าวจนกระทั่งขัดต่อศาสนาและกฏหมาย และขัดต่อความราบรื่นของชีวิตคู่
2. การยินยอมเรื่องเพศสัมพันธ์: ภรรยาจะต้องยินยอมให้สามีมีเพศสัมพันธ์ตามปกติวิสัย และตามแต่สุขภาพกายและใจจะอำนวย เว้นแต่จะมีเหตุจำเป็นต้องงด อย่างเช่น ขณะมีรอบเดือนหรือขณะป่วยไข้
3. ยินยอมสามีในเรื่องภูมิลำเนาที่อยู่อาศัย: ทั้งนี้ ไม่รวมถึงกรณีที่สามีโอนสิทธิดังกล่าวแก่ภรรยาแล้ว และไม่รวมถึงกรณีที่จะส่งผลให้ภรรยาเสื่อมเสียชื่อเสียง หรือก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและสุขภาพของภรรยา
4. เชื่อฟังสามีในเรื่องการออกนอกบ้าน และการพาผู้อื่นเข้ามาในบ้านตามเหมาะสม: ยกเว้นกรณีที่สามีห้ามไม่ให้เดินทางไปทำฮัจย์วาญิบ หรือกรณีที่ต้องเข้ารับการรักษา หรือหากการอยู่ในบ้านเป็นเหตุให้เกิดอันตรายต่อชีวิต สุขภาพ หรือทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง.
5. เชื่อฟังสามีในเรื่องการเข้าทำงาน หรือการเลือกประเภทงาน ในกรณีที่ขัดต่อกาลเทศะ สถานภาพและความเหมาะสมของทั้งสองฝ่าย

รายละเอียดคำตอบพระ ผู้เป็นเจ้าได้สร้างทั้งชายและหญิงให้มีลักษณะที่หากปราศจากเพศตรงข้าม แต่ละเพศจะไม่สามารถถือกำเนิดและดำรงชีวิตต่อไปได้ ไม่สามารถบำบัดความต้องการทางกายและจิตใจโดยลำพังอย่างสมบูรณ์ ไม่สามารถพัฒนาตนทั้งในแง่จิตวิญญาณและศาสนาไม่ว่าจะในเชิงปัจเจกหรือสังคม ประหนึ่งว่าแต่ละเพศเมื่อหลอมรวมกันแล้วจะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่สมบูรณ์ แต่หากแยกจากกันก็จะมีความบกพร่องที่ต้องได้รับการเติมเต็ม[1]

คุณลักษณะ ดังกล่าวเมื่อนำมาพิจารณาถึงความแตกต่างในแง่ร่างกายและจิตใจของชายหญิง อัลลอฮ์จึงทรงกำหนดสิทธิและหน้าที่[2]ของสามีภรรยาไว้ทั้งในลักษณะรวมและ เฉพาะแต่ละเพศ ทั้งนี้ก็เพื่อสนองความต้องการทั้งในโลกนี้และโลกหน้าอย่างครบถ้วนสมบูรณ์
ผู้ รู้ทางศาสนาให้ความสำคัญต่อสิทธิหน้าที่ของสามีภรรยาทั้งในทางฟิกเกาะ ฮ์(นิติศาสตร์อิสลาม)[3] จริยธรรม[4] และกฏหมายแพ่ง[5] ทั้งนี้ก็เนื่องจากสิทธิและหน้าที่ทางจริยธรรมเปรียบเสมือนเสาหลักที่ค้ำ ประกันสิทธิหน้าที่ทางกฏหมายแพ่ง[6] ส่วนสิทธิหน้าที่ทางฟิกเกาะฮ์ก็มีส่วนคล้ายคลึงกับสิทธิหน้าที่ทางกฏหมาย เราจึงขอนำเสนอสิทธิและหน้าที่ทางจริยธรรมและกฏหมายอิสลามดังต่อไปนี้:

ส่วนแรก: หน้าที่ทางจริยธรรมอิสลามของภรรยา
จาก เนื้อหาของฮะดีษทำให้เราสามารถจำแนกหน้าที่ของภรรยาออกเป็นสองส่วน นั่นคือ คุณค่าของการปฏิบัติหน้าที่ต่อสามี และรายละเอียดหน้าที่

ก. คุณค่าของการปฏิบัติหน้าที่ต่อสามี
1.ท่านนบี(ซ.ล.)กล่าวว่า“หากอนุมัติให้ศิโรราบต่อสิ่งที่มิไช่พระเจ้า ฉันจะบอกให้เหล่าภรรยาศิโรราบต่อสามี”
2. สิทธิของสามี มีมากกว่าสิทธิของผู้ใดเหนือภรรยา
3. ญิฮาดของภรรยาคือการอดทนต่อพฤติกรรมไม่ดีของสามี
4. ภรรยาไม่ควรยั่วโทสะสามี แม้ว่าสามีจะทำให้เธอไม่สบายใจ
5. ภรรยาที่ไม่ได้รับความพอใจจากสามี ศาสนกิจของเธอจะไม่ได้รับการตอบรับ
6. ภรรยาที่ไม่รู้คุณสามี จะไม่ได้รับผลบุญใดๆจากศาสนกิจ[7]
ข. รายละเอียดหน้าที่ของภรรยา
1. ภรรยาไม่ควรเผลอใจแก่ชายอื่น มิเช่นนั้นจะถือเป็นหญิงผิดประเวณีในทัศนะของพระองค์
2. ภรรยาไม่ควรปฏิเสธกามารมณ์ของสามี และควรตอบรับหากสามีขอร่วมหลับนอนแม้บนพาหนะ ไม่ว่าช่วงวันหรือกลางคืน แต่หากไม่เป็นไปตามนี้ เธอจะถูกมวลมะลาอิกะฮ์ละอ์นัต(ประณาม)
3. ภรรยาไม่ควรถือศีลอดสุหนัต(ภาคอาสา)หากไม่ได้รับการยินยอมจากสามี (นี่คือคำสอนเชิงสัญลักษณ์ และน่าจะหมายรวมถึงศาสนกิจสุหนัตทุกประการ)
4. ภรรยาไม่ควรนมาซให้ยาวนาน หากจะทำให้ไม่สามารถสนองความต้องการเร่งด่วนของสามีได้
5. ภรรยาไม่ควรให้ทรัพย์สินแก่ผู้ใดแม้แต่เศาะดะเกาะฮ์ หากสามีไม่ยินยอม
6. ภรรยาไม่ควรออกนอกบ้านหากสามีไม่ยินยอม มิเช่นนั้นจะถูกประณามโดยมะลาอิกะฮ์แห่งชั้นฟ้าและแผ่นดิน รวมถึงมะลาอะฮ์แห่งความเมตตาและความกริ้ว[8]
7. ภรรยาควรเสริมสวย ใช้เครื่องหอม และประดับประดาตนเพื่อสามีเท่านั้น และหากกระทำไปเพื่อชายอื่น นมาซของเธอจะไม่ได้รับการตอบรับ.[9]

ส่วนที่สอง: หน้าที่ตามบทบัญญัติอิสลาม
ประกอบด้วยหมวดหน้าที่ร่วมกันของทั้งสามีและภรรยา และหน้าที่จำเพาะสำหรับภรรยา
ก. หน้าที่ร่วมกันของสามีและภรรยา:
1. มีปฏิสัมพันธ์อย่างอบอุ่น: สามีและภรรยาต่างมีหน้าที่ในการแสดงอัธยาศัยไมตรีอันดีต่อกัน ไม่ว่าจะในแง่การกระทำ วาจา หรือแม้แต่สีหน้า และจะต้องหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่สร้างความร้าวฉาน นอกจากจะมีข้อยกเว้นในแง่บทบัญญัติ กฏหมาย หรือวิถีประชา
2. ถ้อยทีถ้อยอาศัย:
สามี ภรรยาจะต้องร่วมมือร่วมใจกันสร้างเสริมสถาบันครอบครัวให้ก้าวหน้ามั่นคง ทั้งนี้ ความร่วมมือดังกล่าวขึ้นอยู่กับวัตรปฏิบัติในแต่ละสังคม กาลเทศะ ขนบธรรมเนียม และสถานภาพของทั้งสองฝ่าย ตัวอย่างเช่น หากธรรมเนียมสังคมกำหนดว่าภาระในบ้าน การเลี้ยงดูและให้นมบุตรเป็นหน้าที่ของภรรยา  และกำหนดว่าภาระนอกบ้านเป็นหน้าที่ของสามี ทั้งสองฝ่ายก็ควรประสานงานกันตามธรรมเนียมดังกล่าว
3. การเลี้ยงดูบุตรธิดา:
สามีภรรยาจะต้องทุ่มเทเอาใจใส่ในการเลี้ยงดูบุตรธิดาตามอัตภาพ กาลเทศะ และระดับความคาดหวังในแต่ละสังคม
4. ซื่อสัตย์ต่อกัน:
สามีภรรยาจะต้องไม่มีพฤติกรรมที่ส่อไปในทางผิดประเวณีกับผู้อื่น

ข. หน้าที่จำเพาะภรรยาตามบทบัญญัติ
1. ยินยอมต่อภาวะผู้นำของสามี: หากเกิดปัญหาขึ้นในครอบครัว สามีควรได้รับสิทธิตัดสินชี้ขาด อย่างไรก็ดี หน้าที่ดังกล่าวของสามีไม่ควรเป็นไปในลักษณะที่ขัดต่อหลักอัธยาศัยไมตรีและ หลักถ้อยทีถ้อยอาศัย รวมทั้งจะต้องไม่ขัดต่อหลักศาสนาและกฏหมายแพ่ง อันเกิดจากการลุแก่อำนาจของสามี
2. ตัมกีน[10]: ภรรยาจะต้องยินยอมให้สามีมีเพศสัมพันธ์ตามปกติวิสัย และตามแต่สุขภาพกายและใจจะอำนวย เว้นแต่จะมีเหตุจำเป็นทางศาสนาหรือกฏหมายที่ต้องงด อย่างเช่น ขณะมีรอบเดือนหรือขณะป่วยไข้
3. ยินยอมสามีในเรื่องภูมิลำเนาที่อยู่อาศัย: ทั้งนี้ ไม่รวมถึงกรณีที่สามีโอนสิทธิในการตัดสินใจให้แก่ภรรยาแล้ว และไม่รวมถึงกรณีที่จะส่งผลให้ภรรยาเสื่อมเสียชื่อเสียง หรือก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและสุขภาพของภรรยา
4. เชื่อฟังสามีในเรื่องการออกนอกบ้าน และการพาผู้อื่นเข้ามาในบ้านตามเหมาะสม: ยกเว้นกรณีที่สามีห้ามไม่ให้เดินทางไปทำฮัจย์วาญิบ หรือกรณีที่ต้องเข้ารับการรักษา หรือหากการอยู่ในบ้านเป็นเหตุให้เกิดอันตรายต่อชีวิต สุขภาพ หรือทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง.
5. เชื่อฟังสามีในเรื่องการเข้าทำงาน หรือการเลือกประเภทงาน ในกรณีที่ไม่ขัดต่อกาลเทศะ สถานภาพและความเหมาะสมทางสรีระและจิตใจของทั้งสองฝ่าย

ทั้งหมดนี้ เป็นการประมวลหน้าที่ของภรรยาที่พึงปฏิบัติต่อสามีอย่างคร่าวๆ และเพื่อให้หัวข้อนี้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น จะขอนำเสนอภาระหน้าที่ๆสามีพึงปฏิบัติต่อภรรยาโดยสังเขปดังนี้

ส่วนที่สาม: หน้าที่ของสามีต่อภรรยา
หน้าที่ของสามีต่อภรรยาแบ่งออกเป็นสองประเภท หน้าที่ทางจริยธรรม และหน้าที่ทางบทบัญญัติ
ก. หน้าที่ทางจริยธรรม: เนื้อหาของฮะดีษได้จำแนกออกเป็นสองส่วน นั่นคือ คุณค่าของการประพฤติดีต่อภรรยา และรายละเอียดหน้าที่
หนึ่ง: คุณค่าของการประพฤติดีต่อภรรยา
1. การมอบความรักแด่ภรรยาคืออุปนิสัยของบรรดานบี[11]
2. การสารภาพรักต่อภรรยาจะไม่เลือนหายไปจากใจเธอ
3. ให้อภัยภรรยาหากแสดงเธอพฤติกรรมไม่ดี
4. ประพฤติต่อเธออย่างทะนุถนอมเอาใจใส่
5. ชายที่ประเสริฐสุดในทัศนะของพระองค์คือ สามีที่มีความประพฤติดีที่สุดต่อภรรยา
6. ชายที่เป็นที่รักที่สุด คือสามีที่ประพฤติดีต่อภรรยาบ่อยที่สุด
7. ต้องหวั่นเกรงการตัดสินของพระองค์ หากไม่ระมัดระวังสิทธิของภรรยา.
สอง: รายละเอียดหน้าที่ทางจริยธรรม
1. มองภรรยาในฐานะดอกไม้ที่ควรค่าแก่การทะนุถนอม มิไช่สาวใช้ในบ้าน ทั้งนี้ก็เพื่อคงไว้ซึ่งความสดใสสวยงามของเธอ และไม่คาดหวังจากเธอในสิ่งที่เกินเลยความสามารถ
2. ตระเตรียมปัจจัยสี่และเครื่องประดับให้เหมาะสมสำหรับเธอ โดยเฉพาะสำหรับวันอีด
3. สอบถามความเห็นของภรรยาในเรื่องที่สำคัญต่อชีวิตคู่
4. รักษาสิทธิภรรยาในแง่กิจกรรมทางเพศ
ข. ภาระหน้าที่ตามบทบัญญัติ
แบ่งออกเป็นสองส่วน หน้าที่รวมสำหรับสามีภรรยา(ซึ่งได้กล่าวไปแล้ว) และหน้าที่จำเพาะสำหรับสามี
 ส่วนที่สี่: หน้าที่จำเพาะของสามี
ก. หน้าที่ในเรื่องค่าใช้จ่าย
1. จัดหาอาหารที่เหมาะสมกับฐานะภาพของภรรยา
2. จัดหาเครื่องแต่งกายที่เหมาะสมกับฐานะภาพของภรรยา
3. จัดหาเครื่องประดับที่เหมาะสมกับฐานะภาพของภรรยา
4. จัดหาที่อยู่อาศัยที่เหมาะสมกับฐานะภาพของภรรยา
5. จัดหาคนช่วยทำงานบ้านหากจำเป็น ตามความเหมาะสมกับฐานะภาพของภรรยา หรือในกรณีที่ภรรยาล้มป่วย
6. จัดหาหยูกยาและให้การรักษาภรรยาหากล้มป่วย[12]

ข. หน้าที่ในการร่วมหลับนอน
กฏหมายทั่วไปมิได้ชี้ชัดในจุดนี้โดยระบุไว้เพียงหลักอัธยาศัยไมตรีอันดีต่อกัน ทว่าผู้รู้ทางศาสนาได้นำเสนอประเด็นดังกล่าวไว้ดังนี้:

1. หลังพิธีแต่งงานแล้ว ภรรยามีสิทธิเหนือสามีในการร่วมเตียงเคียงหมอนดังนี้
หาก เป็นสาวพรหมจรรย์ สามีมีหน้าที่จะต้องอยู่กับเธอไม่น้อยกว่าเจ็ดคืน แต่หากเป็นหญิงที่ผ่านการแต่งงานแล้ว สามีมีหน้าต้องอยู่กับเธอไม่น้อยกว่าสามคืน โดยหลังจากช่วงเวลาดังกล่าว หากเธอเป็นภรรยาคนเดียวของสามี ภายในสี่คืน สามีมีหน้าที่ต้องอยู่กับเธออย่างน้อยหนึ่งคืน แต่หากมีภรรยาหลายคน สามีมีหน้าที่ต้องอยู่กับภรรยาแต่ละคนไม่น้อยกว่าหนึ่งคืนต่อสี่คืน[13]

2. หน้าที่ด้านกิจกรรมทางเพศ: สามีมีหน้าที่จะต้องประกอบกามกิจกับภรรยาไม่ต่ำกว่าหนึ่งครั้งต่อสี่เดือน ซึ่งถือเป็นสิทธิของภรรยาอย่างหนึ่ง.
ที่มา... http://thai.islamquest.com/QuestionArchive/14780.ASPX

คลังคำถามเกี่ยวกับอิสลามศึกษาที่น่าสนใจมากมาย เชิญเยี่ยมชม... http://thai.islamquest.com

--------------------------------------------------------------------------------
[1] เอกสารประกอบการสอนวิชาสิทธิสตรีในอิสลาม,อาจารย์มิศบาฮ์ ยัซดี,ครั้งที่ 209 ,หน้า  2096.
[2] ซูเราะฮ์อัลบะเกาะเราะฮ์,233 และ, อันนิซาอ์,4 และ, อันนะฮ์ลิ,72 และ, อัรรูม,21 ตลอดจนโองการอื่นๆที่เกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ของสามีภรรยา.
[3] บรรดาผู้รู้ศาสนาและมัรญะอ์ตั้กลีดมักนำเสนอหัวข้อสิทธิและหน้าที่ภรรยาไว้ในหมวดการแต่งงานถาวร บทการนิกะฮ์.
[4] สิ่งที่ได้นำเสนอไปเกี่ยวกับหน้าที่ต่างๆในข้อเขียนนี้ อ้างอิงจากฮะดีษของบรรดามะศูมีน(อ.)ที่รายงานในหนังสือ“ฮิลยะตุ้ลมุตตะ กีน”บทที่หก,หมวดที่สี่,ที่นำเสนอเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ของสามีภรรยา.
[5] จำต้องทราบถึงข้อแตกต่างระหว่างหน้าที่ทางจริยธรรมกับหน้าที่ทางกฏหมายแพ่ง เกี่ยวกับครอบครัวดังนี้ 1. ข้อแนะนำทางจริยธรรมตั้งอยู่บนพื้นฐานของปัญญาและศาสนา แต่กฏหมายจะต้องตราขึ้นโดยผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเท่านั้น อาทิเช่นฝ่ายนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ และผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ 2. ข้อแนะนำทางจริยธรรมเป็นไปเพื่อความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับพระเจ้า,ตนเอง และผู้อื่น แต่กฏหมายนั้นตราขึ้นเพื่อกำหนดขอบเขตความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับคนใน สังคม  3. ข้อแนะนำทางจริยธรรมมีเป้าหมายเพื่อบรรลุถึงสัมพันธภาพระหว่างบุคคลกับพระ เจ้า แต่กฏหมายตราขึ้นเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวมทางโลก และเพื่อบริหารให้ชีวิตราษฎรเป็นไปอย่างราบรื่น 4. ข้อแนะนำทางจริยธรรมเน้นเจตนาเป็นหลัก ในขณะที่กฏหมายเน้นการกระทำเป็นหลัก 5. ข้อแนะนำทางจริยธรรมบ่งบอกถึงลักษณะนิสัยเชิงบวกของบุคคลได้มากกว่าข้อบัง คับทางกฏหมาย 6. ข้อแนะนำทางจริยธรรมบางประการเป็นสุหนัต(ภาคอาสา) แต่ข้อกฏหมายล้วนเป็นข้อบังคับทุกประการ 7. ข้อแนะนำทางจริยธรรมมีแรงบันดาลใจทั้งโลกนี้และโลกหน้า แต่ข้อกฏหมายขึ้นอยู่กับอำนาจทางตำรวจทหารเท่านั้น. ดู: ปรัชญาจริยธรรม และเอกสารประกอบการบรรยายวิชาสารธรรมกุรอาน,ครั้งที่ 177.
[6] ข้อกฏหมายที่นำเสนอในข้อเขียนนี้อ้างอิงจากมาตรา1112 ถึง1117 กฏหมายแพ่งและกฏหมายฟ้องร้อง(ของอิหร่าน)ในหนังสือกฏหมายแพ่ง,เล่ม 4 ,หน้า 5 .เขียนโดยดร.ฮุเซน อิมามี และหนังสือกฏหมายครอบครัว,เล่ม1,โดยดร.ฮะซัน ศะฟออี และอะสะดุลลอฮ์ อิมามี.
[7] ฮิลยะตุ้ลมุตตะกีน,อ.มัจลิซี,บทที่ 6 ,หน้า 76-77.
[8] หนึ่งในข้อแตกต่างก็คือ ผู้รู้ทางศาสนาให้ความเห็นว่าภรรยามีสิทธิเรียกร้องค่าเหนื่อยในการทำงาน บ้านจากสามี ในขณะที่นักกฏหมายบางคนเชื่อว่าการทำงานบ้านรวมอยู่ในหน้าที่การประสานความ ร่วมมืออยู่แล้ว และไม่ควรเรียกร้องค่าจ้างในการปฏิบัติหน้าที่ๆต้องกระทำ, กฏหมายครอบครัว,ศะฟออีและอิมามี,เล่ม1, หน้า162.
[9] ฮิลยะตุ้ลมุตตะกีน,บทที่ 6 ,หน้า 76-79.
[10] เพื่อศึกษาความหมายของตัมกีนในเชิงแคบและเชิงกว้าง ดู: กฏหมายแพ่ง,ดร.ฮุเซน อิมามี,หน้า 173.
[11] อุรวะตุ้ลวุษกอ,มัรฮูมฏอบาฏอบาอี ยัซดี,เล่ม 2 ,หมวดนิกาฮ์,หน้า 626.
[12] แต่ผู้รู้ทางศาสนามักจะเห็นว่าไม่ไช่หน้าที่ของสามี,กฏหมายแพ่ง,หน้า 343.
[13] ทัศนะดังกล่าวคือทัศนะที่ผู้รู้ทางศาสนาส่วนใหญ่ให้การยอมรับ แต่อีกทัศนะหนึ่งกล่าวว่า ต้องการจะสื่อเพียงแค่การไม่ตีตนออกห่างภรรยาเท่านั้น.อ้างแล้ว.หน้า 446.

จาก
http://www.oknation.net/blog/kiattitharai/2011/07/07/entry-1

วันอังคารที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ชายพิการที่แข็งแรง


ผมเคยเจอชายพิการคนนึงที่มัญยิด
เขาสดใสมีความสุขและเป็นมิตร
แววตาและรอยยิ้มของเขาทำให้ผมจำได้เสมอ
เราเจอกันทุกๆวันศุกร์  ผมมาละหมาดวันศุกร์ที่นี้เสมอ  เราเจอกันแล้วยิ้มให้กัน  ในความเป้นพี่-น้องร่วมความเชื่อ  ไม่มีอะไรมากกว่ายิ้มและสลามทักทาย
ทุกอย่างเป็นไปอย่างเรียบง่ายแบบนี้จนเกือบปี 
แล้วผมก็ไม่ได้เจอเขาอีก
ไม่ใช่เพราะเขาแต่เพราะตัวผมเอง  ผมย้ายไปภูเก็ตและแต่เขายังอยู่ที่เดิม
แต่แปลกนักที่ผมไม่เคยลืมภาพเขา
ภาพที่เขาพาตัวเองบนไม้ค้ำมามัญยิส
ด้วยเหงื่อที่โทรมตัว
ภาพที่เขาเงยมองทุกคนที่ทักสลามแก่เขา
พร้อมจะยื่นมือไปจับแม้นั้นอาจหมายถึงเขาอาจล้มได้
ภาพที่เขานั่งลงกับพื้นมัญยิดแล้วยิ้ม
ทั้งๆที่ตัวอาบไปด้วยเหงื่อ
หากคนเราต้องพักเมื่อเหนื่อย
หยาดหยดเหงื่อที่เปื้อนตัวได้บอกกับเขาแล้วว่าควรพัก
หากท่านๆทักถามว่าที่ไหนที่เขาพัก
เขาเอนหลังพักที่บ้านของอัลเลาะห์
คนมากมายมีร่างกายแข็งแรงแต่อ่อนแอกับสิ่งยั่วยุ
คนมากมายมีร่างกายแข็งแรงแต่อ่อนแอเกินจะพาตัวไปมัญยิส
คนมากมายมีร่างกายแข็งแรงแต่แววตากลับหม่นหมอง
คนมากมายมีร่างกายแข็งแรงแต่อ่อนแอในหัวใจ
คนมากมายมีร่างกายแข็งแรงแต่นิสัยไร้ความเป็นมิตร
วันนึงที่ตาฝ้าฟาง  หูที่ตีงเงียบ
มือเท้าเย็นเฉียบเหยีอดไม่ไหว
สมองอาจเลือนลางไป
แต่ขอหัวใจเป็นไปได้อย่างเขาที่เป็น
........................................................................................................
ผมได้พบเขาอีกครั้งหลังจากกลับมากทม  ผมไปละศิลอดที่ศูนย์กลางและได้เจอเขาที่นั้น
เขามาไกลจากที่ที่เขาละหมาดประจำมากนัก
เขาและผมหันมามองตากัน  วูบนึงเราทั้งคู่ต่างยิ้มในเชิงที่จะบอกกันและกันว่าจำได้
เราสลามกันราวกับเพื่อนเก่าก่อนจะแยกกันไปตามกลุ่มที่ผมมา
สิ่งที่ผมรู้สึกได้คือแววตาเขาไม่เปลี่ยนไป  อาจจะแข็งแรงกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ

ก้อนเมฆเคลื่อนมาบังแสงอาทิตย์ให้ท่านร่อซูล



มีรายงานจากท่านหญิงอาอิชะฮฺ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮา แจ้งว่า นางได้กล่าวแก่ท่านนบี
ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ว่า
" ท่านพบกับวันหนึ่งที่มีความยากลำบากยิ่งกว่าที่สมรภูมิอุฮุดหรือไม่?
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ตอบว่า
" ฉันพบกับความลำบากจากหมู่คณะของเธอ(ชาวกุเรช) และที่ฉันพบความลำบากยิ่งก็คือ วันที่อัลอะกอบะฮฺ ซึ่งวันนั้นฉันได้ไปเชิญชวน อิบนิ อับดิยาลัยลฺ อิบนิ อับดิ กิลาล ให้เข้ารับอิสลาม แต่เขาปฎิเสธฉันจึงไปที่อื่นด้วยความไม่สบายใจ ฉันเดินเลื่อยไปจนกระทั่งมาถึงก็อรฺนิซอาลิม(หรือ ก็อรนฺมะนาซิล อยู่ใกล้กับฎออิบ ซึ่งเป็นมีกอดสำหรับผู้ไปทำฮัจญ์หรืออุมเราะฮฺที่เดินทางมาจากนัจดฺ)เมื่อฉันเงยศรีษะขึ้น ทันใดนั้นก็เห็นก้อนเมฆเคลื่อนมาบังแสงอาทิตย์เป็นร่มเงาให้เมื่อฉันองดูก็เห็นญิบรีล อะลัยฮิสลาม อยู่ในก้อนเมหนั้น ญิบรีลได้เรียกฉันพลางกล่าวว่า
" แท้จริงอัลลอฮฺทรงได้ยินคำพูดของหมู่คณะที่พูดถึงท่านและคำตอบที่เขาตอบท่านอัลลอฮฺทรงส่งมะลาอิกะฮฺแห่งบรรดาภูเขามาเพื่อให้ท่านสั่งบรรดามะลาอิกะฮฺเหล่านั้นให้กระทำ
ในสิ่งที่ท่าน(ต้องการ)ประสงค์จะให้ประสบกับพวกเขา และมะลาอิกะฮฺแห่งภูเขาก็เรียกฉันให้สลามแก่ฉันและกล่าวว่า
"โอ้มุฮัมมัด แท้จริง อัลลอฮฺทรงได้ยินคำพูดของพวกที่พูดถึงท่านฉันเป็นมะลาอิกะฮฺผู้มีหน้าที่ดูแลภูเขา ผู้เป็นพระเจ้าของฉัน(อัลลอฮฺ)ได้มอบหมายให้ฉันมาหาท่าน เพื่อจะได้ใช้ฉันตามที่ท่านประสงค์ หากท่านประสงค์ฉันก็จะให้ภูเขามหึมาลูกนี้ถล่มทับชนพวกนี้ "ท่านนบีกล่าวว่า
" ฉันไม่ประสงค์เช่นนั้น แต่ฉันปรารถนาให้อัลลอฮฺทรงให้มีผู้สืบทอดต่อจากพวกเขาเป็นผู้ที่อิบาดะฮฺเคารพภักดีต่ออัลลอฮฺ เพียงองค์เดียว และไม่ตั้งสิ่งใดเป็นหุ้นส่วนพระองค์
( บันทึกโดย บุคอรีย์ และมุสลิม )